จากมหาวิหารไปสู่ “วัด” ตามแบบสังคายนาเตร็นท

         มหาวิหารรุ่นแรกตามแบบของคริสตชนได้เกิดมีขึ้นมากมาย ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 4 ถึงศตวรรษที่ 6 และต่อเนื่องไปจนกระทั่ง สมัยสังคายนา เมืองเตร็นท์ (1545-1563)  เป็นช่วงระยะเวลาถึง 11 ศตวรรษ เป็นช่วงเวลาอันยาวนาน สถานที่ประกอบศาสนพิธีของคริสตชน ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย สาเหตุสำคัญของการปรับเปลี่ยนสามารถสรุปได้เป็น 2 ประเด็น คือ ประการแรก เนื่องมาจาก พัฒนาการต่อเนื่องของวิชา เทววิทยาและวิวัฒนาการของพิธีกรรมในทางปฏิบัติ ประการที่ 2 ความหลากหลายของรูปแบบทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรม

         บรรดามหาวิหารใหญ่ ๆ สามารถสนองตอบความตอ้งการและกฎเกณฑ์ ที่ชัดเจนในทางเทววิทยาที่เกี่ยวกับพิธีขอบพระคุณ มาได้จนถึงประมาณสตวรรษที่ 9 และ 10 ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ ประเด็นเกี่ยวกับ “สัญลักษณ์” (Symbols) เข้ามามีบทบาท ในทางสถาปัตยกรรมโดยส่วนรวม (เช่น ตัวอย่าง แบบแปลน ตัวอาคารวัด ที่มีรูปทรงเป็นรูปการเขน) รวมทั้งการจัดโครงสร้างภายใน (เช่น จุดที่ตั้งพระแท่น ธรรมาสน์ ที่นั่งของประธานในพิธี การจัดทำสถานที่ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ สถานที่เพื่อการโปรด พิธีล้างปาบ สถานที่จัดเก็บภาชนะศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ) และโครงสร้างภายนอก (เช่น หอระฆัง หอระฆัง แรกๆ ได้เกิดมีขึ้นในราวศตวรรษที่ 5) นอกจากนี้ยังมีการสร้างสุสาน (การจัดสุสานไว้ใกล้กับตัวอาคารโบสถ์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเพณีเก่าแก่ของการยกย่องให้เกียรติ แก่ บรรดา มาณะสักขี)

         สถานที่ประกอบศาสนพิธีได้รับ เอาระบบสัญลักษร์เขามาเป็นสื่อ และสัญลักษณ์เหล่านี้ได้เปลี่ยนความหมายโครงสร้างของตัวอาคารโบสถ์ จาก “บ้านของชุมชนคริสตชน” ไปเป็น “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพระเจ้าประทับอยู่” การตกแต่งภายในก็ใช้เทคนิคต่างไปจากเดิม หันไปใช้ ภาพโมเสก ภาพวาด และรูปปั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ การสอนความรู้ความเข้าใจทางศาสนา (เครื่องมือสอนคำสอน) ภาพชุดฝาผนังในสมัยกลาง (ตัวอย่างภาพปูนเปียกอันเลื่องชื่อของ จิอ๊อตโต้ในมหาวิหารที่เมืองอัสซีซี) นับเป็นภาพชุดสอนคำสอนพละพระคัมภีร์ที่สำคัญบรรยายถึงชีวประวัติของบรรดานักบุญ หรือบางที่ใช้เป็นสื่อนำเสนอ แนวคิดทางเทววิทยาของยุคนั้นๆ (เช่น ภาพวาดการพิพากษา ประมวลพร้อมของ ไมเคิ้ล อังเจโล)

         ตั้งแต่ช่างศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา ได้เกิดมีการพัฒนาการมากมายและลึกซึ้งของรูปแบบการประกอบพิธีต่างๆ  มีการแสดงออกทั้งในมิติที่เป็น “ภาษา” และ “อากัปกิริยาท่าทาง” ในเวลาเดียวกัน จะพบว่ามีแนวโน้มของพิธีกรรมที่มีลักษณะปัจจเจกนิยม และกิจศรัทธานิยมมากขึ้นสภาพการดังกล่าว ทำให้พิธีที่มีลักษณะ ที่ “ทุกคนกระทำร่วมกัน” ค่อยๆ หายไปเหลือแต่บทบาทของผู้อยู่ในสังฆภาพเท่านั้น พิธีบูชาของพระคุณถูกประยุกต์ใช้ ตามเจตนาของสัตบุรุษผู้ขอมิสซาแต่ละคน เช่น เพื่อระลึกถึงผู้ตาย คนใดคนหนึ่ง หรือหลายคน หรือเพื่อวิงวอนขอพระพรพิเศษ เพื่อการโมทนาคุณสำหรับพระพรที่ได้รับ เพื่อเทิดเกียรติของนักบุญองค์หนึ่งองค์ใด..ที่นับว่าได้เปลื่ยนแปลงความหมายของพิธีกรรมในประเด็นสำคัญ คือการยอมละทิ้ง การมีพระแท่นแต่เพียงพระแท่นเดียว ซึ่งเป็นเครื่องหมาย ถึง พระคริสตเจ้าหนึ่งเดียวและของถวายแต่เพียงหนึ่งเดียว จำนวนพระแท่น รองได้มีเพิ่มมากขึ้น และประดิษฐานไว้ ตามกำแพงระหว่างช่วงเสาที่เรียกว่า Nave บริเวณที่นั้งพระสงฆ์ภายในสักการสถาน ถูกดัดแปลงเป็นที่นั้งสำหรับบรรดฤษี และพระสงฆ์เกษียณที่ทำหน้าที่ขับร้องบททำวัตร มีการต่อเติมโครงสร้างบางอย่าง เป็นรั้วกัน หรือบางทีก็มีลักษณะเป็นกำแพงแบ่งแยกส่วนที่นั่งของสัตบุรุษ (Nave) ออกจากส่วนของพระสงฆ์ อย่างเด็ดขาดขาดจากกัน

         จนมาถึง ช่วงเวลาของการปฏิบัติรูปศาสนา สมัยลูเธอร์และสังคายนาแห่งเมืองเตร็นท์ปฎิกริยาของฝ่ายคาทอลิคตอบโต้ข้อคำสอนโปรแตสแตน ซึ่งปฏิเสธการถือปฏิบัติเกี่ยวกับศึลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ  ทำให้ฝ่ายคาทอลิค กำหนดคำนิยามข้อคำสอนต่างๆ และรวมไปถึงการฟื้นฟูพิธีกรรม หนังสือมิสซาของพระสันตะปาปาปีโอที่ 5 (ปี 1570) ถือเป็นผลงานที่มีความหมายมากที่สุด พระศาสนจักรภายหลังสังคายนาเมืองเตร็นท์ จะประกอบพิธีโดยหันหน้าไปทางพระแท่นใหญ่ และถือปฏิบัติเรื่องศีลมหาสนิทมิใช่เพียงในการประกอบพิธีมิสซาเท่านั้น แต่ยังมีการเก็บรักษาศีลมหาสนิทไว้นอกเวลามิสซาด้วย สถานที่ประกอบศาสนกิจได้รับแนวคิดหนึ่งเดียวมาจาก “สถานที่ที่องค์พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ประทับอยู่” โบสถ์คือ “อนุสรณ์สถานที่ยกถวายแด่ดงค์พระผู้เป็นเจ้า” การยึนยันข้อคำสอนด้านศีลศักดิ์สิทธิ์ ได้บดบังคุณค่าของการประกาศพระวาจา ธรรมาสน์ขนาดใหญ่ คือ ฐานสำหรับการเทศน์สอนหัวข้อคำสอนต่างๆ  นอกเวลามิสซา ได้มีการจัดทำโครงสร้างบ้างอย่างขึ้นมากั้นสถานที่สำหรับการโปรดศีลอภัยบาปออกเป็น 2 ข้าง (ที่ฟังแก้บาป) ศิลปะแบบ บาโร๊ค เข้ามามีบทบาทในการเสริมสร้างผลงานการปฏิรูปให้นี้สำเร็จสมบูรณ์ ภาพวาด และรูปปั้นช่วยเสริมบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง เพื่อช่วยนำบรรดาสัตบุรุษไปสู่จุดที่สำคัญที่สุดในวัด นั่นคือ “ตู้ศีล”

 ในศตวรรษต่อมา จนถึงสมัยก่อนสังคายนาวาติกัน ครั้งที่ 2 แม้ว่ารูปแบบทางศิลปะและสถาปัตย์กรรมในการสร้างวัดจะเปลี่ยนแปลงไป แต่แนวทางด้านพิธีกรรม และข้อคำสอนก็ยังคงสืบทอดแนวทางของสังคายนาแห่งเมืองเตร๊นท์มาโดยตลอด

 

 

ศิลปศักดิ์สิทธิ์

ผู้อ่านพระคัมภีร์

ผู้ช่วยพิธีกรรม

กลับหน้าหลัก